สูตรเดินเงิน บาคาร่า มีอะไรบ้าง?

1. สูตรเดินเงินแบบ Martingale (แทงทบเวลาบวก)

สูตรยอดฮิตที่สายบวกชอบใช้ เพราะหลักการคือ “เสียเท่าไหร่ ตาต่อไปทบเงินคืนให้หมด!” เช่น เริ่มต้นแทง 100 บาท ถ้าแพ้ ตาถัดไปก็แทง 200 ถ้ายังแพ้อีกก็เป็น 400 แล้วทบไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ ซึ่งถ้าชนะเมื่อไหร่ จะได้ทั้งทุนคืน + กำไร 100 ทันที

ข้อดีคือสูตรนี้เอาทุนคืนเร็ว แต่ต้องมีทุนที่หนาพอสมควร และต้องเจอกับจังหวะที่ไม่ซวยเกิน 5–6 ไม้ เพราะถ้าแพ้ยาวๆ จะหมดตัวไวมาก จุดที่ต้องระวังคือ ห้ามใจร้อน เพราะบางคนพอทบแล้วใจเต้น ลืมลิมิตตัวเอง หมดก่อนจะชนะอีก

2. สูตรเดินเงินแบบ Super Martingale (แทงทบบวกกำไรทบด้วย)

สูตรนี้อัปเกรดจาก Martingale โดยไม่ใช่แค่ทบเท่าตัวเวลาบวก แต่บวกเผื่อกำไรเพิ่ม เช่น แพ้ 100 ตาถัดไปแทง 300 (ทุน 200 + กำไร 100) ถ้าแพ้อีกก็แทง 700 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ ถ้าชนะแล้วจะได้ทุนคืน + กำไรที่ตั้งเป้าไว้ทุกไม้

ข้อดีคือได้กำไรเยอะขึ้นถ้ากลับมาชนะ แต่ข้อเสียคือใช้ทุนหนักมาก ถ้าไม่มีทุนถึงหลักหมื่น อย่าพยายามลอง! สูตรนี้เหมาะกับคนที่วางแผนการเงินเก่ง และเล่นตามระบบจริงๆ ไม่หัวร้อน ไม่ใจแตกกลางทาง

3. สูตรเดินเงินแบบ Fibonacci (สายวิทย์ต้องรู้)

สูตรนี้ยืมหลักมาจากลำดับเลขคณิต Fibonacci คือเริ่มจาก 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13… เอาไปใช้เดินเงินได้เลย ถ้าแพ้ให้เดินตามลำดับไปเรื่อยๆ เช่น 100 > 100 > 200 > 300 > 500 ฯลฯ ถ้าชนะให้ถอยกลับสองขั้น เช่นชนะที่ 500 ก็กลับไปแทง 200 ต่อ

ข้อดีคือไม่ทบหนักเท่าระบบ Martingale แต่ยังมีโอกาสได้ทุนคืนและกำไรถ้าเดินถูกจังหวะ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบเสี่ยงหนัก แต่ยังอยากวางแผนให้ปลอดภัย มีระบบ มีเหตุผล แต่ต้องมีวินัยเหมือนเดิม ไม่เบิ้ลเองมั่วๆ

4. สูตรเดินเงินแบบ 1-3-2-6 (สายกำไรแบบค่อยๆ เก็บ)

สูตรนี้คือสายหวังเงินแบบชิลๆ เดินเงินแค่ 4 ไม้ ถ้าชนะทั้งหมดจะได้กำไรงามมาก โดยเริ่มจากแทง 1 หน่วย ถ้าชนะให้แทง 3 หน่วย ถ้าชนะอีกก็ลดเหลือ 2 หน่วย แล้วสุดท้าย 6 หน่วย พอชนะครบทั้ง 4 ไม้คือกำไรหนักแบบไม่ต้องเสี่ยงเยอะ

ข้อดีของสูตรนี้คือ “แพ้ก็เสียไม่มาก แต่ถ้าชนะคือกำไรจุกๆ” แถมใช้ทุนไม่เยอะด้วย เหมาะกับมือใหม่ที่อยากหาจังหวะบวก หรือสายประคองทุนที่ไม่อยากเล่นแรงเกินไป เน้นปลอดภัยไว้ก่อน

5. สูตรเดินเงินแบบ Paroli (แทงทบเวลาชนะ)

ถ้าสูตร Martingale คือแทงทบตอนแพ้ Paroli ก็คือแทงทบตอนชนะ! เช่น เริ่มแทง 100 ถ้าชนะให้เพิ่มเป็น 200 แล้ว 400 แล้วหยุด เริ่มต้นใหม่ ไม่ทบยาวเกิน 3 ไม้ จุดเด่นคือใช้ทุนเริ่มน้อย และเน้นจังหวะบวกแบบคูณกำไร

เหมาะกับคนที่เน้นหาจังหวะ “บวกติดไม้” แล้วเก็บกำไรทีละช่วง ไม่ต้องเสี่ยงทบเวลาซวย ลดความเครียดได้ดีมาก สูตรนี้จึงได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ไม่ซีเรียสจังหวะเสีย แต่อยากได้ช่วงบวกหนักๆ แล้วถอนกำไรเลย

6. สูตรเดินเงินแบบ Fixed Bet (แทงเท่าเดิมทุกไม้)

สำหรับสายชิล สายใจเย็น หรือคนที่เพิ่งเริ่มเล่นและอยากจับจังหวะไพ่ก่อน สูตร Fixed Bet คือแทงเท่าเดิมทุกตา เช่น จะเล่นไม้ละ 100 ก็เล่นไปเรื่อยๆ 100 ไม่ทบ ไม่เพิ่ม ลดความเสี่ยงได้เยอะ

สูตรนี้อาจไม่ได้กำไรหนักแบบเร็วๆ แต่เหมาะกับสายเก็บประสบการณ์ หรือคนที่มีทุนไม่มาก อยากเล่นเพื่อความบันเทิง หรือกำลังทดสอบสูตรเดินเกมอื่นๆ เช่นอ่านเค้าไพ่ คู่-คี่ ปิงปอง ฯลฯ แล้วค่อยพัฒนาเป็นสูตรอื่นต่อได้

7. สูตรเดินเงินแบบ Oscar’s Grind (สายค่อยๆ กำไร)

สูตรนี้จะเน้นเก็บกำไรช้าแต่ชัวร์ โดยเริ่มจากแทง 1 หน่วย ถ้าแพ้ก็แทงเท่าเดิม ถ้าชนะให้เพิ่มขึ้น 1 หน่วยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้กำไรตามเป้า เช่นอยากได้ 4 หน่วยก็จะเดินไปเรื่อยๆ จนได้ครบ แล้วเริ่มใหม่

ข้อดีคือเป็นสูตรที่ความเสี่ยงต่ำสุดในหมวด “เดินเงินแบบทบ” ทั้งหมด เพราะไม่เร่งรีบ เน้นปลอดภัย เก็บกินทีละน้อย แต่ต้องอาศัยเวลาและความอดทนสูงมาก เพราะบางทีอาจใช้เวลาหลายตากว่าจะจบ 1 cycle

8. สูตร Hybrid (ผสมหลายสูตร)

เซียนบางคนจะใช้สูตรเดินเงินแบบ Hybrid คือผสมระหว่าง Martingale + Paroli หรือ Fibonacci + Fixed แล้วแต่สถานการณ์ เช่น ถ้าสถานการณ์ไพ่กำลังเข้าเค้า ก็ใช้สูตร Paroli ถ้าเริ่มเสี่ยงก็ปรับกลับไปใช้ Fixed เพื่อหยุดทุนไหล

ข้อดีของสูตรผสมคือยืดหยุ่นมาก เหมาะกับคนที่อ่านเกมเป็น อ่านเค้าไพ่เก่ง และวางแผนได้ไว แต่อาจจะไม่เหมาะกับมือใหม่ เพราะถ้ายังไม่ชำนาญ อาจสับสนจนเดินเงินพังเองแบบไม่รู้ตัว